วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

Learning Style

Learning Style

การจำแนกประเภทของรูปแบบการคิด
แนวคิดเรื่อง รูปแบบการเรียนรู้ (learning style) มีพัฒนาการมาจากแนวคิดเกี่ยวกับรูปแบบการคิด (Cognitive Style) ที่มีความสนใจในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล ซึ่งในช่วงแรกของการศึกษาเกี่ยวกับรูปแบบการคิด นักจิตวิทยาได้ให้ความสนใจศึกษาในแง่ของการประมวลข่าวสารข้อมูล ในเวลาต่อมานักจิตวิทยาที่สนใจการพัฒนาประสิทธิภาพของการเรียนการสอนในชั้นเรียน ได้นำแนวคิดของรูปแบบการคิด(Cognitive Style) มาประยุกต์ใช้โดยเน้นบริบทของการเรียนรู้ในชั้นเรียนและพัฒนาเป็นแนวคิดใหม่ เรียกว่า รูปแบบการเรียนรู้ (learning style) แนวคิดเกี่ยวกับรูปแบบการเรียนรู้ (learning style)
ทฤษฎีของGrasha & Reichmanแบ่งรูปแบบการเรียนรู้เป็น 6 แบบ คือ
1. แบบแข่งขัน
2. แบบอิสระ
3. แบบหลีกเลี่ยง
4. แบบพึ่งพา
5. แบบร่วมมือ
6. แบบมีส่วนร่วม


ทฤษฎีของ Witkin และคณะ แบ่งเป็น 2 แบบ
1. แบบพึ่งพาสภาพแวดล้อม (Field dependent)
2. แบบไม่พึ่งพาสภาพแวดล้อม (Field independent)

รูปแบบการคิดและรูปแบบการเรียนรู้ของผู้เรียนมีผลต่อความสำเร็จทางการเรียน โดยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนจะเพิ่มขึ้นและผู้เรียนจะสามารถจดจำข้อมูลที่ได้เรียนนานขึ้น เมื่อวิธีสอน วัสดุ/สื่อการสอน และ สภาพแวดล้อมของการเรียนรู้มีความสอดคล้องกับรูปแบบการคิดและรูปแบบการเรียนรู้ของผู้เรียน เช่น ผู้เรียนที่มีรูปแบบการคิดเป็นรูปภาพ จะเรียนรู้ได้ดีเมื่อผู้สอนใช้สื่อการสอนที่มีภาพประกอบ หรือผู้เรียนที่มีรูปแบบการคิดแบบอิสระ จะเรียนรู้ได้ดีในกิจกรรมการเรียนที่มีการค้นคว้าด้วยตนเอง หรือผู้เรียนที่มีรูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ ก็จะเรียนรู้ได้ดีในกิจกรรมการเรียนที่มีส่วนร่วม มีการร่วมมือกันทำงานเป็นกลุ่ม เป็นต้น ความรู้ความเข้าใจในเรื่องรูปแบบการคิดและรูปแบบการเรียนรู้ จึงมีความสำคัญต่อการส่งเสริมประสิทธิภาพของการเรียนการสอน และพัฒนาผู้เรียนให้สามารถเรียนรู้ได้เต็มศักยภาพ

ทฤษฎีของ Carl Jung แบ่งเป็น 2 แบบ
1. แบบเก็บตัว (Introver)
2. แบบแสดงตัว (Extrover)
ทฤษฎีของ Kagan และคณะ แบ่งวิธีคิดเป็น 3 ประเภท
1. คิดแบบวิเคราะห์ Analytical Style รับรู้สิ่งเร้าในรูปของส่วนย่อยมากกว่าส่วนรวม นําส่วนย่อยมาประกอบกัน
2. คิดแบบโยงความสัมพันธ์ Relational Style พยายามโยงสิ่งต่างๆ ให้มาสัมพันธ์กัน
3. แบบจําแนกประเภท Categorical Style จัดสิ่งเร้าเป็นประเภทตามความรู้หรือประสบการณ์
ทฤษฎีของ Honey & Mumford แบ่งคนเป็น 4 รูปแบบ
1.Activitists (Do)นักกิจกรรม
2.Reflectors (Review)นักไตร่ตรอง
3.Theorists (Conclude)นักทฤษฎี
4.Pragmatists (Plan)นักปฏิบัติ
ประโยชน์ของความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบการคิดและรูปแบบการเรียนรู้ต่อผู้เรียน
ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างบุคคลในรูปแบบการคิดและรูปแบบการเรียนรู้ จะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจตนเองและเข้าใจในความแตกต่างระหว่างตนเองและผู้อื่น และใช้ประโยชน์จากความรู้ความเข้าใจในจุดเด่นของรูปแบบการคิดและรูปแบบการเรียนรู้ของตนไปให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อการเรียนทางวิชาการ การเรียนรู้ในสภาพการณ์ทั่วไป และการทำงานในอนาคตต่อไป พร้อมทั้งปรับปรุงแก้ไขจุดอ่อนของตนในรูปแบบการคิดและรูปแบบการเรียนรู้ที่ไม่เคยใช้หรือไม่ค่อยได้ใช้ให้แข็งแกร่งขึ้น เพื่อจะได้เป็นผู้มีรูปแบบการคิดและรูปแบบการเรียนรู้หลายรูปแบบ ซึ่งจะทำให้สามารถเลือกนำออกมาใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพราะถ้าผู้เรียนที่ยึดมั่นในการใช้รูปแบบการคิดและรูปแบบการเรียนรู้แบบใดแบบหนึ่งเพียงรูปแบบเดียว ก็จะสามารถเรียนรู้ได้ดีเฉพาะในบางรายวิชาหรือบางสถานการณ์ ที่สอดคล้องกับการจัดการสอนเท่านั้น แต่ในบางรายวิชาหรือบางสถานการณ์ ที่ต้องการรูปแบบการคิดและรูปแบบการเรียนรู้ที่แตกต่างออกไป ก็จะเกิดความรู้สึกยุ่งยากหรืออาจเป็นปัญหาการเรียนได้
ประโยชน์ของความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบการคิดและรูปแบบการเรียนรู้ต่อผู้สอน
ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างบุคคลในรูปแบบการคิดและรูปแบบการเรียนรู้ ทำให้นักจิตวิทยาและนักการศึกษาเห็นถึงความจำเป็น ที่ผู้สอนจะต้องปรับสภาพการเรียนการสอน และกลวิธีการสอนให้เข้ากับลักษณะของผู้เรียน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการเรียนการสอน และช่วยให้ผู้เรียนบรรลุถึงจุดมุ่งหมายของการเรียน (Saracho, 1997; Morgan, 1997) โดยผู้สอนควรจะสร้างความสมดุลในการจัดการเรียนการสอนให้แก่ผู้เรียนทุกคน ด้วยการจัดรูปแบบการเรียนการสอนให้มีความหลากหลายและยืดหยุ่น เพื่อสอดรับกับรูปแบบการเรียนของผู้เรียนที่แตกต่างกัน และช่วยให้ผู้เรียนมีทักษะในการใช้รูปแบบการคิดและรูปแบบการเรียนรู้ที่ตนชอบมากกว่า และอีกทั้งจัดรูปแบบการเรียนการสอน ที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เพิ่มทักษะการใช้รูปการเรียนที่ตนชอบน้อยกว่าให้สูงขึ้นด้วย ดังที่ Robotham (1995) เสนอแนะว่า ในช่วงแรกของการเรียน ผู้สอนควรจัดรูปแบบการสอนให้สอดคล้องกับรูปแบบการเรียน เพราะจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ได้ดีกว่า และเมื่อผู้เรียนมีความสามารถเพิ่มขึ้นแล้ว ผู้สอนควรใช้รูปแบบการสอนที่ไม่สอดคล้องกับรูปแบบการเรียนของผู้เรียน เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนารูปแบบการเรียนของตนให้กว้างขึ้น และจะได้สามารถใช้เลือกรูปแบบการเรียนให้เหมาะสมกับงานที่แตกต่างได้ต่อไป โดยไม่ติดยึดกับรูปแบบการเรียนแบบใดแบบหนึ่งเพียงแบบเดียว นอกจากนี้ผู้สอนยังสามารถนำความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างบุคคล ในรูปแบบการคิดและรูปแบบการเรียนรู้ ไปใช้ในการออกแบบหลักสูตร การเขียนตำรา การพัฒนาชุดการสอนด้วยคอมพิวเตอร์ และออกแบบวิธีสอน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างเต็มศักยภาพ

ดูเนื้อหาเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซด์    http://wiki.edu.chula.ac.th/users/user2/weblog/9f6e1/



There are Learning Style Plan you can click to these website.


Unit: People Topic:  Relationship M.3

Unit: travel Topic: transportation 




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น